อักษรวิ่ง

"คลับดีๆสำหรับคนรักษ์สุขภาพ"

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2562



  10 อาหารแคลอรี่สูงที่ทำให้อ้วนแบบไม่รู้ตัว


 สำหรับใครที่กำลังควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก แคลอรี่อาหารคงเป็นอะไรที่ต้องใส่ใจอย่างมาก เนื่องจากอาหารแคลอรี่สูงส่งผลต่อการสะสมไขมันในร่างกาย ก่อให้เกิดความอ้วนตามมา ดังนั้นก่อนทานอาหารควรคำนึงถึงปริมาณแคลอรี่ให้มากๆ ทางที่ดีอาจต้องคำนวณแคลอรี่อาหารเสียก่อน เพื่อให้การทานอาหารแต่ละมื้อไม่ส่งผลต่อรูปร่างมากนัก





ข้าวผัดอเมริกัน 1 จานเท่ากับ 790 กิโลแคลอรี่ 










ข้าวมันไก่ทอด 1 จาน
เท่ากับ
695 กิโลแคลอรี่ 







  
ขาหมู 1 จานท่ากับ690 กิโลแคลอรี่








บะหมี่กรอบราดหน้ารวมมิตร 1 จานเท่ากับ 690 กิโลแคลอรี่







ข้าวผัดคะน้าหมูกรอบ 1 จานเท่ากับ  670 กิโลแคลอรี่



    

ข้าวผัดหมูน้ำพริกเผา 1 จานเท่ากับ 665 กิโลแคลอรี่








ข้าวผัดหมูใส่ไข่ 1 จานเท่ากับ  660 กิโลแคลอรี่





บะหมี่กรอบราดหน้าไก่ 1 จานเท่ากับ 660 กิโลแคลอรี่ 





ข้าวผัดกระเพราไก่ไข่ดาว 1 จานเท่ากับ  630 กิโลแคลอรี่




      





 โรตีแกงเนื้อ1ชุด เท่ากับ 675 กิโลแคลอรี่ 



   ทั้งหมดนี้ก็เป็นอาหารแคลอรี่สูงที่ควรหลีกเลี่ยงทั้งหมด 10 อันดับสำหรับในคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักควรมีวิธีการคำนวณแคลอรี่อาหารที่เหมาะสมกับความต้องการพลังงานในแต่ละคนเป็นปัจจัยที่ส่งผลที่สุด  ดังนั้นควรเลือกทานให้เหมาะสม เพราะถ้าหากยังทานอาหารที่มีปริมาณแคลอรี่เกินความต้องการอยู่ ต่อให้ออกกำลังกายมากเท่าไร ก็ไม่ช่วยให้น้ำหนักลดลงอย่างแน่นอน 

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2562




10 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนจะเริ่มออกกำลังกาย
อย่างจริงจัง

  การออกกำลังกายคือส่วนสำคัญในการลดน้ำหนัก แต่การออกกำลังกายให้ได้ผลดี เราจำเป็นต้องเข้าใจหลักของการออกกำลังกายเพื่อที่จะเผาผลาญไขมันออกจากร่างกาย  มีหลักง่ายๆสำหรับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี 
โดย 10 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนออกกำลังกาย มีดังต่อไปนี้
1. การเริ่มต้นสำคัญที่สุด 
  การที่เราเริ่มต้นในการออกกำลังกายถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการลดน้ำหนัก และสุขภาพที่ดี เมื่อคุณก้าวออกมาออกกำลังกาย ชีวิตของคุณก็เปลี่ยนไปแล้ว
2. สิ่งที่สำคัญคือพลังงานเข้าน้อยกว่าออก 
  ไม่ว่าเราจะออกกำลังกายมากขนาดไหน หากเรารับประทานอาหารมากกว่าที่เราออกกำลังกาย หรือใช้พลังงานน้อยกว่าที่เรากินเข้าไป น้ำหนักของเราก็จะขึ้นหนึ่งกิโลกรัม ในทุกสามพันถึงสี่พันแคลอรี แต่การที่เราจะลดน้ำหนักหนึ่งกิโลกรัมนั้น เราต้องออกกำลังกายถึง 7,000 แคลอรีเลยที่เดียว  สิ่งที่สำคัญกว่าคือการระวังไม่ให้พลังงานที่ได้รับมากกว่าที่เราจะใช้พลังงานในแต่ละวัน ไม่ฉะนั้นเราจะต้องลำบากในการเอาออกจากร่างกายของเรา ที่สำคัญที่สุดคืออย่าทานยาลดน้ำหนักโดยเด็ดขาด เว้นแต่ได้รับคำสั่งจากแพทย์
3. กุญแจอยู่แคลอรี่ 
  หลายคนพยายามที่จะหาวิธีที่จะลดไขมันโดยออกกำลังกายน้อย ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน และที่สำคัญไปกว่านั้น มีบทความที่ยืนยันแล้วว่า ไม่จำเป็นต้องเกิน 30 นาที ร่างกายถึงจะใช้ไขมัน แต่ขึ้นอยู่กับระดับการออกกำลังกายด้วย ถ้าคุณออกกำลังกายที่ใช้พลังงานน้อยเช่นการเดิน หรือแกว่างแขน คุณก็ต้องใช้ระยะเวลามากขึ้นกว่าการวิ่ง หรือว่ายน้ำ
4. ระดับของการออกกำลังกายแต่ละคนไม่เท่ากัน 
  ระดับการออกกำลังกายที่เหมาะสมต่อการเผาผลาญไขมันคือระดับกลาง คือเหนื่อย แต่ยังสามารถพูดคุยได้ปกติ ในระดับสูงคือพูดไม่ได้ หายใจทางปาก แต่ระดับการออกกำลังกายของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีกเช่นกัน เช่นการออกกำลังโดยการวิ่ง 1 km/6 min สำหรับนักกีฬาอาจจะไม่เหนื่อยมาก แต่สำหรับคนปกติอาจจะกายเป็นระดับสูงของเขาเลยทีเดียว ดังนั้นเราควรปรับระดับการออกกำลังกายให้เหมาะกับตัวเองไม่ใช่อ้างอิงจากผู้อื่น
5. Cardio เข้าใจให้ถูกต้อง 
  การ Cardio คือศัพท์ที่ใช้ในฟิตเนต หมายถึงการออกกำลังกายที่ใช้ในเผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด คือให้หัวใจได้ทำงาน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะออกกำลังกายหนักหรือเบา หากหัวใจเราได้ทำงานมากกว่าปกติ ก็ถือเป็นการ Cardio โดยหากมีอุปกรณ์สำหรับวัดการเต้นหัวใจ อัตราที่เหมาะสมคือ ร้อยละ 85 ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด จะเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับการเผาผลาญไขมันมากที่สุด
6. ระยะเวลาไม่ส่งผล 
  เป็นความเข้าใจผิดที่ว่าการออกกำลังกาย 30 นาทีต่อเนื่อง
จะดีที่สุด แต่ในความจริงแล้วการออกกำลังกาย 10 นาที 3 รอบ 
ก็ส่งผลเหมือนกัน หากมีการเผาผลาญแคลอรีที่เท่ากัน
7. การออกกำลังกายที่แนะนำ 
  การออกกำลังกายที่แนะนำว่าส่งผลดีต่อร่างกายที่สุด คือการออกกำลังกายระดับปานกลาง 30 นาทีต่อวัน สัปดาห์ละ 3-5 วัน หรือ 2.5-5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้าเป็นการออกกำลังกายระดับสูงควรลดลงครึ่งหนึ่ง
8. การออกกำลังกายให้อะไรมากกว่าที่เราคิด 
  การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักแล้ว 
ยังส่งผลให้ร่างกายมีความทนต่อความเหนื่อยล้าและอาการบาดเจ็บ และยังช่วยในการป้องการโรคหัวใจหลอดเลือด โรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจได้อีกด้วย
9. หากคุณเป็นผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ 
  โดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับข้อต่อ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะออกกำลังกาย ไม่ฉะนั้นอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี
10.  เราออกกำลังเพื่อเปลี่ยนชีวิต ไม่ใช่แค่ลดน้ำหนัก
  อย่าเลิกออกกำลังกายแม้ว่าคุณจะได้น้ำหนักที่ต้องการแล้วก็ตาม เพราะวิถีชีวิตที่ดี คือสิ่งที่จะให้รูปร่างที่ดีอยู่กับคุณตลอด 


5 เทรนด์ออกกำลังกายยอดฮิตของคนยุคใหม่

ทั้งสนุกและได้สุขภาพ

   การออกกำลังกายแทบจะเป็นเป้าหมายแรกๆ ที่คนกว่าครึ่งโลกต้องการทำให้สำเร็จเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง หุ่นเฟิร์มกันทั้งนั้น ซึ่งการออกกำลังกายในสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องซ้ำซากจำเจเหมือนอย่างที่ผ่านมา เพราะโลกของเรากำลังเปลี่ยนไป ทำให้เทรนด์การออกกำลังกายรูปแบบใหม่ที่ทั้งสนุกเเละได้เหงื่อ อย่าง 5 เทรนการออกกำลังกายแนวใหม่ที่เราจะนำมาเสนอในวันนี้ มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ  

1.Surfset



  Surfset เป็นการออกกำลังรูปแบบผสมผสาน ที่นำท่าทางการเล่นกีฬาโต้คลื่นมาผสมผสารกับการออกกำลังการในฟิตเน็ต ทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนเรากำลังได้เล่นเซิร์ฟที่ทะเล ซึ่งการออกกำลังกายชนิดนี้ ร่างกายจะได้ใช้กล้ามเนื้อ ส่วนกลางลำตัว หน้าท้อง และหลังส่วนล่างเป็นหลัก โดยการเล่น 1 ครั้ง จะใช้เวลา 1 ชั่วโมงเผาผลาญแคลเลอรี่ได้มากถึง 500 – 950 แคลเลอรี่ถ้าเปรียบเทียบแล้ว การเล่น Surfset 1 ชั่วโมงเท่ากับการลงเล่นเซิร์ฟในทะเลจริง ๆ ถึง 2-3 ชั่วโมง ซึ่งการเล่น Surfset จะได้ทั้งการออกกำลังการและการฝึงสมาธิจากการทรงตัวอีกด้วย




2. Jumping fitness



  Jumping fitness  เป็นการที่เรากระโดดขึ้นลงบนสปริงบอร์ด ซึ่งในสมัยนี้ฟิตเน็ตต่างๆนำมาพัฒนาใส่ท่วงท่าในการการออกกำลังกายเข้าไป โดยเสน่ห์ของการเล่น Jumping fitness คือการใช้สปริงบอร์ดมาช่วยให้การออกกำลังกายของเราให้สนุกยิ่งขึ้น ว่ากันว่าแค่เราโดดๆเด้งๆ บนสปริงบอร์ดวันละ 10 นาที ได้ผลเทียบเท่ากับเราออกกำลังกายปกติถึง 45 นาที  ซึ่งการเล่นJumping fitness เราจะได้ออกกำลังกายเผาผลาญแคลเลอรี่ได้ทุกสัดส่วนและได้ความสนุกความมันจนลืมความเหนื่อยเลย แต่ถ้าอยากให้ความสนุกและความมันมากยิ่งขึ้นขอแนะนำให้มาเล่นกันแบบยกแก๊งค่ะ


3. ZUMBA fitness



  ZUMBA fitness เป็นการเต้นออกกำลังกายสไตล์ละตินที่ตอนนี้เริ่มเป็นที่กระแสนิยมของคุณผู้หญิงอย่างมาก เสน่ห์ของซุมบา คือ ท่าง่ายที่สามารถเต้นตามได้ และเสียงเพลงละตินในจังหวะที่เร้าใจ ทำให้เกิดความสนุกสนานในการออกกำลังกาย ซึ่งการเต้นซุมบา เป็นการเต้นออกกำลังกายที่ช่วยทำให้หัวใจทำงานดีขึ้น ทั้งยังช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 800-1,000 กิโลแคลอรี่ภายใน1ชม.
ช่วยลดไขมันส่วนเกิน และกระชับสัดส่วนได้ดี โดยเฉพาะบริเวณแขน สะโพก ต้นขา พร้อมๆ กับการสร้างกล้ามเนื้อท้องและหลัง


4. Pound Fitness



  Pound Fitness การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอผสมผสานด้วยท่วงท่าของพิลาทิสและโยคะ โดยเสน่ห์ของการออกกำลังกายชนิดนี้คือการนำไม้กลองมาใช้เป็นอุปกรณ์ในการเล่นและใส่จังหวะดนตรีท่าเต้นลงไป ในการเล่นจะมีทั้งการกระโดด เปลี่ยนท่า เคลื่อนที่ไปมาตามจังหวะเพลงและโฟกัสกับอุปกรณ์ รับรองว่าสนุกไม่เบื่อแน่นอน ทั้งหมดจะใช้เวลา 45 นาทีในการเล่น ซึ่ง Pound Fitness เป็นการออกกำลังกายที่จะเน้นใช้สะโพก กลางลำตัวและขา เป็นหลัก 
 สำหรับใครที่ชอบการเล่นดนตรีและออกกำลังกายก็ลองมาเล่น Pound Fitness กันนะคะ



5. BUNGEE WORKOUT



  BUNGEE WORKOUT เป็นกายกรรมที่ถูกพัฒนาให้มาเป็นท่วงท่าที่สามารถออกกำลังกายได้ โดยเสน่ห์ของ BUNGEE WORKOUT คือการนำสลิงบันจี้จัมพ์มาเป็นอุปกรณ์ในออกกำลังกาย 
 ซึ่งการเล่น BUNGEE WORKOUT นั้นเราต้องใช้การเกร็งส่วนต่างๆของร่างกายสามารถออกท่วงท่าที่ต้องการ   และต้านแรงดึงของสลิงจึงทำให้สามารถออกกำลังกายกระชับสัดส่วนได้ทั้งตัวเลย และการเล่น BUNGEE WORKOUT 1 ชั่วโมงสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 500 กิโลแคลอรี่เลยทีเดียว




  การออกกำลังกายในปัจจุบันมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเพิ่มลูกเล่นหรือมีวิธีการเล่นได้หลากหลายรูปแบบ ทำให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบันที่ชอบความรวดเร็วสะดวกสบายมากขึ้น และวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็ได้หันมาสนใจการออกกำลังกายกันจำนวนมาก เพราะตอบโจทย์ในเรื่องของความแปลกใหม่ท้าทายสนุกสนานและไม่น่าเบื่อ